User Tools

Site Tools


tutorial:record

Differences

This shows you the differences between two versions of the page.

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
Next revision
Previous revision
tutorial:record [2019/01/20 08:14]
admin
tutorial:record [2019/01/28 10:14] (current)
admin
Line 55: Line 55:
 ปกติแล้ว Record จะมีแค่ Field Variable อยู่ภายใน แต่ยังมี Record อีกประเภทหนึ่งที่มี Method และ Property ได้ เรียกว่า Advanced Record \\ ปกติแล้ว Record จะมีแค่ Field Variable อยู่ภายใน แต่ยังมี Record อีกประเภทหนึ่งที่มี Method และ Property ได้ เรียกว่า Advanced Record \\
  
-Advanced Record ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มีความสามารถทางด้าน Object Oriented Programming ​เช่นเดียวกับ Object จะเรียกได้ว่า Advanced Record กับ Object นั้นเหมือนกันแทบทั้งหมดก็ว่าได้ ​\\+Advanced Record ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มีความสามารถทางด้าน Object Oriented Programming \\
  
 การประกาศ Advanced Record จำเป็นต้องมี Compiler Directive ต่อไปนี้ การประกาศ Advanced Record จำเป็นต้องมี Compiler Directive ต่อไปนี้
Line 61: Line 61:
   {$modeSwitch advancedRecords}   {$modeSwitch advancedRecords}
   ​   ​
-จากนั้น เราก็สามารถประกาศ Record ​ให้มีหน้าตาคล้ายกับ Object ​ได้แบบนี้+จากนั้น เราก็สามารถประกาศ ​Procedure/​Function บน ​Record ได้ดังนี้
  
   Type   Type
Line 136: Line 136:
 ---- ----
 =====Object===== =====Object=====
-ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ Turbo Pascal โดยออกแบบให้เป็นไปตามหลักการ Object Oriented Programming (OOP) ลักษณะการใช้งานโดยทั่วไปจะคล้ายกับ Advanced Record \\ \\+ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ Turbo Pascal โดยออกแบบให้เป็นไปตามหลักการ Object Oriented Programming (OOP) ลักษณะการใช้งานโดยทั่วไปจะเหมือนกันกับ Advanced Record \\ \\
 สาเหตุที่มีให้ใช้ทั้ง Object และ Advanced Record นั้น เพราะว่าภายหลังจากที่ Delphi เปิดตัว ได้มีการนำ Class มาใช้แทน Object และผลักดันให้ เรียก Object ว่าเป็น Advanced Record แทน (อันนี้ผมเข้าใจว่า เพราะคำว่าว่า Object ในภาษาทั่วไป คือ instance ซึ่งแปลว่าผลิตภัณท์ที่เกิดจากต้นแบบ (Class) ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้ผู้ใช้ได้) ทีนี้ทางฝั่งของ FPC ซึ่งมีการออกแบบให้โค๊ดทั้งหลายคล้ายคลึงกับทั้งทาง Turbo Pascal และ Delphi อยู่แล้วนั้น ได้ตัดสินใจเก็บ Object ไว้ เพื่อให้ยัง Compatible กับ Turbo Pascal อยู่นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรทั้งสอง ก็ถูกใช้งานเหมือนกัน สาเหตุที่มีให้ใช้ทั้ง Object และ Advanced Record นั้น เพราะว่าภายหลังจากที่ Delphi เปิดตัว ได้มีการนำ Class มาใช้แทน Object และผลักดันให้ เรียก Object ว่าเป็น Advanced Record แทน (อันนี้ผมเข้าใจว่า เพราะคำว่าว่า Object ในภาษาทั่วไป คือ instance ซึ่งแปลว่าผลิตภัณท์ที่เกิดจากต้นแบบ (Class) ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้ผู้ใช้ได้) ทีนี้ทางฝั่งของ FPC ซึ่งมีการออกแบบให้โค๊ดทั้งหลายคล้ายคลึงกับทั้งทาง Turbo Pascal และ Delphi อยู่แล้วนั้น ได้ตัดสินใจเก็บ Object ไว้ เพื่อให้ยัง Compatible กับ Turbo Pascal อยู่นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรทั้งสอง ก็ถูกใช้งานเหมือนกัน
  
Line 169: Line 169:
 \\  \\ 
 จากตัวอย่างโค๊ดข้างบน จะอธิบายส่วนประกอบต่างๆทีละส่วนดังนี้ จากตัวอย่างโค๊ดข้างบน จะอธิบายส่วนประกอบต่างๆทีละส่วนดังนี้
-====Access ​Specifiers==== +====Access ​Modifier==== 
  
   type   type
Line 190: Line 190:
  
 ====Properties==== ​ ====Properties==== ​
-คือ คุณสมบัติของ Object ​ะกอบไปด้วย Getter (คำสั่งหลัง read) และ ​Setter (คำสั่งหลัง write)\\ \\ +คือ คุณสมบัติของ Object ​โดยยละเอจะขอกล่าวในหัวข้อ Class อีกที\\ \\
-พื่เป็นการอธิบาให้เห็นภาพ ​จะขอัวอย่าง+
  
-  property ValueX:​integer read GetValueX write SetValueX; 
  
-จากตัวอย่างดังกล่าว Getter คือ GetValueX ส่วน Setter คือ SetValueX \\ 
-Getter จะถูกเรียกใช้งาน เมื่อมีการเรียกใช้ค่าของ Property ดังเช่น 
  
-  writeln(ValueX);​ 
-  ​ 
-Setter จะถูกเรียกใช้งาน เมื่อมีการใส่ค่าให้ Property เช่น 
- 
-  ValueX:=12; 
-  ​ 
-ทำไมต้องมี Getter Setter ให้ยุ่งยาก แทนที่จะใช้ var หรือ Field อย่างเดียว?​ ประโยชน์ของการใช้งาน Property มีดังนี้ครับ 
-  *ใช้คัดกรองตัวแปร บางครั้งเรารับค่าเพื่อการคำนวณในช่วง 0-100 เท่านั้น หากผู้ใช้ใส่ค่าเกินกว่าค่าดังกล่าวมา จะสามารถคัดกรองให้เป็นค่าที่อยู่ในช่วง 0-100 แทนได้ 
-  *เพื่อให้ค่าของ Property ได้มีการ update ตลอดเวลา โดยเฉพาะหาก property ของเรา ขึ้นอยู่กับค่าอื่น เมื่อใดที่มีการเปลี่ยนค่า ก็จะมีการ update ค่า property เราด้วยเสมอ 
- 
- 
-รูปแบบการเขียน Property มีหลักๆดังนี้ 
-  *Property ที่มี Getter, Setter เป็น Field 
- 
-  property Value:​integer read FValue write FValue; 
- 
-  *property ที่มี Getter, Setter เป็น Procedure/​Function ซึ่งโดยปกติ Getter จะเป็น Function ส่วน Setter จะเป็น Procedure 
- 
-  property ValueX:​integer read GetValueX write SetValueX; 
-  function GetValueX:​integer;​ 
-  procedure SetValueX(Value:​integer);​ 
- 
-  *Property ที่แสดงค่าได้อย่างเดียว (ReadOnly) 
- 
-  property IsOK:​boolean read GetIsOK; 
- 
-\\ 
  
 <hidden Example-3: Object without Properties>​ <hidden Example-3: Object without Properties>​
 **ตัวอย่าง** การสร้าง Object ทรงกระบอก Cylinder เพื่อรับค่า รัศมีวงกลม (Radius) กับ ความสูง (Height) เข้ามาเป็น Input \\ จากนั้น **ตัวอย่าง** การสร้าง Object ทรงกระบอก Cylinder เพื่อรับค่า รัศมีวงกลม (Radius) กับ ความสูง (Height) เข้ามาเป็น Input \\ จากนั้น
 จึงนำมาคำนวณพื้นที่ฐาน (Area) และปริมาตร (Volume) \\ \\ จึงนำมาคำนวณพื้นที่ฐาน (Area) และปริมาตร (Volume) \\ \\
-__ข้อสังเกต__:​ ตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นปัญหาของการไม่ใช้ Property จะสังเกตว่า ตอนแรกนั้นเราใส่ค่า Radius = 2 และ Height = 10 แล้วสั่งคำนวณค่าจาก CalculateArea,​ CalculateVolume จะได้ค่า Area, Volume มาตามปกติ \\ \\ แต่หลังจากนั้น เมื่อเปลี่ยนค่า Radius เป็น 10 แล้วลองไม่เรียก CalculateArea,​ CalculateVolume เมื่อเรียกดูค่า Area, Volume จะเห็นว่ายังเป็นค่าเดิม เพราะไม่ได้มีการ Update ค่า Area, Volume เหมือนตอนแรก\\ \\ สรุปได้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนค่า Radius หรือ Height จะต้องมีการเรียก CalculateArea,​ CalculateVolume ทุกครั้ง จึงจะได้ค่า Area, Volume ที่ถูกต้อง ลองจินตนาการถึงการเขียนโปรแกรมจริงๆว่าหากเรามี Input กับ Output ที่มากขึ้นในระดับ 10-20 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีการคำนวณค่าที่ซับซ้อน ที่ผ่าน Procedure/​Function หลายตัว คงเป็นการลำบากที่จะต้องมาเรียก Procedure/​Function เหล่านั้น ทุกครั้งที่มีการ update ค่า Input นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เราควรใช้งาน Property แทนที่ตัวแปร ​ Input/​Output พวกนี้ ให้ดู Example-4+__ข้อสังเกต__:​ ตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นปัญหาของการไม่ใช้ Property จะสังเกตว่า ตอนแรกนั้นเราใส่ค่า Radius = 2 และ Height = 10 แล้วสั่งคำนวณค่าจาก CalculateArea,​ CalculateVolume จะได้ค่า Area, Volume มาตามปกติ \\ \\ แต่หลังจากนั้น เมื่อเปลี่ยนค่า Radius เป็น 10 แล้วลองไม่เรียก CalculateArea,​ CalculateVolume เมื่อเรียกดูค่า Area, Volume จะเห็นว่ายังเป็นค่าเดิม เพราะไม่ได้มีการ Update ค่า Area, Volume เหมือนตอนแรก\\ \\ สรุปได้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนค่า Radius หรือ Height จะต้องมีการเรียก CalculateArea,​ CalculateVolume ทุกครั้ง จึงจะได้ค่า Area, Volume ที่ถูกต้อง ลองจินตนาการถึงการเขียนโปรแกรมจริงๆว่าหากเรามี Input กับ Output ที่มากขึ้นในระดับ 10-20 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีการคำนวณค่าที่ซับซ้อน ที่ผ่าน Procedure/​Function หลายตัว คงเป็นการลำบากที่จะต้องมาเรียก Procedure/​Function เหล่านั้น ทุกครั้งที่มีการ update ค่า Input นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เราควรใช้งาน Property แทนที่ตัวแปร ​ Input/​Output พวกนี้ ​สำหรับการเปลี่ยนมาใช้ Property ​ให้ดูได้จาก ​Example-4
    
 <sxh delphi;​highlight:​ []> <sxh delphi;​highlight:​ []>
Line 284: Line 253:
 </​sxh> ​ </​sxh> ​
 </​hidden>​ </​hidden>​
-\\   +   
 +<hidden Example-4: Object Properties>​ 
 +**ตัวอย่าง** การสร้าง Object ทรงกระบอก Cylinder เพื่อรับค่า รัศมีวงกลม (Radius) กับ ความสูง (Height) เข้ามาเป็น Input \\ จากนั้น 
 +จึงนำมาคำนวณพื้นที่ฐาน (Area) และปริมาตร (Volume) \\ \\ 
 +__ข้อสังเกต__:​ ตัวอย่างนี้ ใช้ Property แทนตัวแปร Output และเปลี่ยน CalculateArea,​ CalculateVolume ไปเป็น Getter แทน \\ \\ 
 +จะสังเกตว่า เมื่อเราเปลี่ยนค่า Radius หรือ Height ค่าของ Area, Volume ก็จะถูก Update ตามเสมอ เพราะอย่างเช่นที่เคยอธิบายข้างบนไว้แล้วว่า Getter จะถูกเรียกทุกครั้ง ที่ Property ตัวนั้นถูกเรียกให้แสดงค่า ซึ่งในกรณีนี้ ถูกเรียกให้แสดงค่าใน ShowData นั่นเอง 
 +  
 +<sxh delphi;​highlight:​ []> 
 +program Cylinder_With_Properties;​ 
 + 
 +type 
 + 
 +  { TMyCylinder } 
 + 
 +  TMyCylinder = Object 
 +  private 
 +    function GetRadius: real; 
 +    function GetVolume: real; 
 +  public 
 +    Radius:​real; ​  ​//Input 
 +    Height:​real; ​  //​Input 
 +    property Area:real read GetRadius; ​   //Output 
 +    property Volume:real read GetVolume; ​ //Output 
 +    procedure ShowData; 
 +  end; 
 + 
 +{ TMyCylinder } 
 + 
 +function TMyCylinder.GetRadius:​ real; 
 +begin 
 +  result:​=system.pi*(Radius*Radius);​ 
 +end; 
 + 
 +function TMyCylinder.GetVolume:​ real; 
 +begin 
 +  result:​=Area*Height;​ 
 +end; 
 + 
 +procedure TMyCylinder.ShowData;​ 
 +begin 
 +  writeln('​Radius = ',​Radius);​ 
 +  writeln('​Area = ',​Area);​ 
 +  writeln('​Volume = ',​Volume);​ 
 +end; 
 + 
 +var 
 +  Cylinder:​TMyCylinder;​ 
 + 
 +begin 
 +  Cylinder.Radius:​=2;​ //Set Radius = 2 
 +  Cylinder.Height:​=10;​ //Set Height = 10 
 +  Cylinder.ShowData; ​ //Show the results 
 + 
 +  Cylinder.Radius:​=10;​ //Change Radius to 10 
 +  Cylinder.ShowData; ​ //Show the results 
 + 
 +  Cylinder.Radius:​=5;​ //Change Radius to 5 
 +  Cylinder.Height:​=2;​ //Change Height = 2 
 +  Cylinder.ShowData; ​ //Show the results 
 + 
 +  readln; 
 +end.   
 +</​sxh>​  
 +Compiled Results: 
 +</​hidden>​ 
 +\\ 
  
  
  
tutorial/record.1547946876.txt.gz · Last modified: 2019/01/20 08:14 by admin